ผมก็อุดegr รถผมเป็นวีโก้3.0อุดตั้งแต่300.000โลครับ ก่อนอุดพอรถติดนานๆแล้วมันดับครับ ช่างเลยแนะนำให้อุด อุดแล้วอาการที่เป็นหายครับตอนนี้590.000กว่าโลแล้วครับไม่เคยทำอะไรเครื่องยนต์เลยครับ เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามคู่มีอประจำรถซื้อเมื่อ มี.ค.2548

Egr มันคือมาตรฐานด้านการผลิตเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมครับ เพื่อลดก๊าซเสียให้น้อยลง

ถ้ามันดีขนาดนั้นทำไมไม่เอาไอเสียกลัยไป100%เลยละครับ รอบเครื่อง​สูงใข้ความเร็ว​ระบบEGRปิดตัวเอง นั่นเเสดงให้เห็นอะไรบางอย่าวแล้วใช่ใหม คืดเอาไตร่ตรอง​ดูเอาเองครับ

ขอเรื่องระบบการทำงานของเกียร์ออโต้หน่อยนะครับ........สู้ต่อไปน่ะครับได้ความมากขึ้นเลย......

อุดEGRจะมีผลแค่รอบต่ำครับเพราะในรอบสูงEGRปิดอยู่แล้วอุดดีที่สุดครับผมอุดตั้งแต่ป้ายแดง😁

ใช่เลยครับ

ถ้าอุดแล้วความร้อนหน้าสัมผัสลูกสูบลดลงบอกว่าไม่ดี...แล้วอินเตอร์คูลเล่อจะทำมาเพื่ออะไรครับ

อุดก้อแรงดีผมเคยอุด ตอนนี้ใส่ท่อกลับคืนเดิมละ แดรกนํ้ามันครับ

ใช่ ที่ไม่อุด egr มีข้อดี

ต้องศึกษาข้อมูลตามรุ่นรถของตัวเองให้ดีก่อนทำ แต่ละรุ่นมีรายละเอียดต่างกันในการอุด

ดีคับเป็นความรู้เป็นทางเลือก

ท่าอุดแล้วจะทำไห้พายในห้องเครื่องของเราสอาดมากขึ้นทำไห้อัตราเร่ง

รถผม DDi ปี 2005 คอมตัวแรก เคยอุดกับน้า ๆ ได้ 2 เดือนต้องถอดออก ไม่ไหว เติมเต็มถังปกติ ถึงเชียงใหม่ พออุด หมดถังที่ตาก มีไอ นมค ซึมออกที่ท่ออินเตอร์มาก เครื่องร้อนขึ้นเหยียบได้แค่ 145 จากปกติ 175 ปัจจุบันเครื่อง 359000 กม สภาพปกติ ไอก็ยังสะอาด ถอดออกตัวดีออกตั้งแต่ 150000 กม

ถ้า ไฟEngineขึ้น = รีแมพ เปลี่ยนท่อแทนแคท. จบแล้วครับแรงด้วย

ได้ความรู้มากครับเดียวพรุ้งนี้จะไปเอาออก

ผมไม่ใช่สายควันดำนะ แต่เดาๆไปว่า วิศวกร คือผู้สร้าง กับ ช่างคือคนทำลาย วิศวกรมีเหตุผลว่าทำไมถึงสร้าง ส่วนช่างไม่มีเหตุผล(ที่เเน่ชัด)ว่าทำไม่ต้องถอด

ผมอยากทราบว่ารถผมดีแมกซ์1.9 ไม่อยากอุดegr แต่อยากรีแมพ ให้เกียร์1กับเกียร์2มาไวๆหน่อย หรือเพิ่มแรงม้าทำได้ไหมครับ รถแต่มา80000ละครับ ไม่อยากอุดegr ควันมันเหม็นคาับ

Egrรถแทรกเตอร์คูโบต้ามีมัยคับ

ผมคงไม่ปิดเพราะผมเกลียดพวกรถควันดำคงนึกว่าเท่ใจเขาใจเรานึกถึงเวลาตัวเองต้องใช้รถมอเตอร์ไซแล้วเจอไอ้พวกรถแต่งที่มันพ่นควันดำๆออกมาใส่เราเรารู้สึกอย่างไรคนอื่นก็คงคิดไม่ต่าง(ความคิดเห็นส่วนตัว)

ผมอุด ดีตอนดับเครื่องสั่นน้อยกว่ามากควันดำหายไปเยอะ แต่ถ้าเครื่องเย็นก็ลองอ่านดูคับ ปัจจัยที่กำหนดว่าเครื่องยนต์แต่ละเครื่องจะสามารถสร้างแรงม้าสูงสุดได้เท่าไหร่นั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับการทนต่อ ความเค้น (Stress) ขององยนต์แต่ละเครื่องจะสามารถสร้างแรงม้าสูงสุดได้เท่าไหร่นั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับการทนต่อ ความเค้น (Stress) ของชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์แล้ว ความทนทานต่อ ความร้อน(Thermal Resistance) ของวัสดุก็ยังเป็นอีกข้อจำกัดหนึ่งที่เหล่าค่ายรถยนต์ต้องประสบพบเจอปัจจัยที่กำหนดว่าเคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเครื่องยนต์ที่ใช้ระบบอัดอากาศประเภทเทอร์โบชาร์จเจอร์ ซึ่งมีความร้อนกว่าเครื่องยนต์แบบปกติอยู่เกือบเท่าตัว เพราะฉะนั้น ปัญหาเรื่องความร้อน จึงกลายมาเป็นปัญหาหลักในการพัฒนาเครื่องยนต์อย่างปฏิเสธไม่ได้ในวันนี้ ผมจะพาท่านผู้อ่านไปรู้จักกับเทคโนโลยีจากค่ายรถยนต์สัญชาติเยอรมัน BMW ซึ่งเรียกว่า Water Injection (วอเตอร์ อินเจ็คชั่น) ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า การฉีดน้ำ แล้วจะฉีดน้ำเข้าไปในส่วนไหน หรือบริเวณใด และสามารถลดความร้อนได้มากแค่ไหน ลองไปอ่านรายละเอียดกันครับ Water Injection เป็นการเพิ่มสมรรถนะให้กับเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์เจอร์ โดยการ ฉีดน้ำ เข้าทางท่อไอดีโดยตรง ซึ่งน้ำที่ถูกฉีดจะกลายเป็นไอและทำหน้าที่ดูดความร้อนออกจากไอดี ส่งผลให้การสันดาปมีอุณหภูมิลดลง เพราะฉะนั้น เราจึงสามารถปรับเพิ่ม บูสต์ (Boost) หรือแรงดันอากาศฝั่งไอดีให้มากขึ้นโดยไม่ต้องกลัวว่าเครื่องยนต์จะเกิดอาการ น็อคคิง (Knocking) แต่อย่างใด ...ผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ออกมาคือแรงม้าและทอร์คมีค่าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการทำงานในรอบสูงๆรถยนต์เจ้าแห่งเทคโนโลยีอย่าง BMW ได้นำระบบ Water Injection มาใช้กับรถยนต์ BMW M4 GTS รถสปอร์ตคูเป้สมรรถนะสูง ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการซิ่งเซอร์กิตโดยเฉพาะ BMW M4 GTS คันนี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 6-สูบเรียง ทวินเทอร์โบ สร้างกำลังได้ 493-แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ 7-สปีดคลัตช์คู่ แล้วเอา น้ำ ...มาจากไหนสำหรับน้ำเปล่าที่ถูกฉีดเข้าไปทางท่อไอดีนั้น จะถูกเก็บไว้ที่ถังติดตั้งไว้ด้านท้ายรถซึ่งมีขนาด 1.3 แกลลอน และลำเลียงผ่านท่อจากท้ายรถมายังหน้ารถ และทำการฉีดด้วยความดันสูงถึง 145 PSI คำถามต่อมาก็คือว่า...แล้วต้องเติมน้ำบ่อยแค่ไหน BMW แนะนำว่า ในการเติมน้ำมัน 5 ครั้ง ให้เติมน้ำเปล่า 1 ครั้ง แต่ถ้าเจ้าของรถเอา M4 GTS คันนี้ไปวิ่งในสนามอยู่บ่อยๆ ก็ให้เติมน้ำเปล่าทุกครั้ง ที่มีการเติมน้ำมัน งงไหมครับ... หวังว่าจะไม่งงกันนะ