สติปัฏฐาน ๔ - หลวงพ่อพระราชปริยัตยากร (บุญเรือง สารโท)
Тәжірибелік нұсқаулар және стиль
ธรรมะ เรื่อง "สติปัฏฐาน ๔" โดย พระเดชพระคุณ หลวงพ่อพระราชปริยัตยากร (บุญเรือง สารโท) อดีตเจ้าอาวาสวัดพิชโสภาราม ต.แก้งเหนือ อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Website : www.watpitch.com
Facebook : / watpitchvipassana
GooglePlus : plus.google.com/+WatPitchVipa...
KZread : / watpitchvipassana
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Пікірлер: 21
น้อมกราบสาธุค่ะ
สาธุ
น้อมกราบสาธุเจ้าค่ะ
สาธุ🙏 สาธุ🙏 สาธุ🙏 อนุโมทา... มิ
สาธุค่ะ🙏🙏🙏
กราบสาธุค่ะ
กราบสาธุสาธุเจ้าค่าบูชาธรรมอันประเสริฐแรงบุญแรงอธิษฐาน
🙏 พระอาจารย์บุญเรือง สารโท 🙏
สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ
กราบสาธุสาธุเจ้าค่าบูชาธรรมกราบสาธุ
กราบสาธุๆครับ
สาธุๆครับ
ตอนนี้คำทำนายของหลวงพ่อ เริ่มก่อตัวเป็นความจริงแล้วครับ R I P
@amarapornsomdee2151
Жыл бұрын
ขอน้อมกราบนมัสการพ่อแม่ครูอาจราย์สาธุสาธุสาธุเจ้าค่ะ
กายที่ ๒ อริยาบถ เมื่อยืน ก็รู้ชัดว่า เรายืน หายใจออก เมื่อเดิน ก็รู้ชัดว่า เราเดิน หายใจเข้า เมื่อนั่ง ก็รู้ชัดว่า เรานั่ง หายใจออก เมื่อนอน ก็รู้ชัดว่า เรานอน ทายใจเข้า ดังพรรณนามาฉะนี้ หายใจออก ภิกษุย่อมพิจารณา หายใจเข้า เห็นกายในกายภายในบ้าง หายใจออก เห็นกายในกายภายนอกบ้าง หายใจเข้า เห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง หายใจออก เห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง หายใจเข้า เห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง หายใจออก เห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง หายใจเข้า ย่อมอยู่ หายใจออก อนึ่ง หายใจเข้า สติของเธอตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่ หายใจออก ก็เพียงสักว่าความรู้ในกายนี้ หายใจเข้า เพียงสักว่าอาศัยกายนี้ระลึกเท่านั้น หายใจออก เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว หายใจเข้า ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรๆในโลกแล้ว หายใจออก ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ หายใจเข้า ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ หายใจออก
(๑๓๑) ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ (จากพระไตรปิฏก ฉบับหลวง๔๕เล่ม ในเล่มที่๑๐) สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในแค้วนกุรุ มีนิคมหนึ่งของแค้วนกุรุ ชื่อกัมมาสธรรม ณ.ที่นั่น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่าทูลรับต่อพระผู้มีพระภาคแล้ว. (๑๓๒) พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เห็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง หนทางนี้คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ สติปัฏฐาน ๔ ประการเป็นไฉน ? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชชาและโทมนัส ในโลกเสียได้ ๑ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชชาและโทมนัส ในโลกเสียได้ ๑ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชชาและโทมนัส ในโลกเสียได้ ๑ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชชาและโทมนัส ในโลกเสียได้ ๑ การพิจารณาเห็นกายในกายอยู่อย่างไรเล่าฦ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี เธอนั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรงดำรงสตไว้เฉพาะหน้า กายที่ ๑ ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า มีสติ หายใจออก มีสติ หายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาว ย่อมรู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ย่อมรู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ย่อมรู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้าสั้น ย่อมรู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น ย่อมสำเหนียกว่า เราเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า ดังพรรณนามาฉะนี้ หายใจออก ภิกษุย่อมพิจารณา หายใจเข้า เห็นกายในกายภายในบ้าง หายใจออก เห็นกายในกายภายนอกบ้าง หายใจเข้า เห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง หายใจออก เห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง หายใจเข้า เห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง หายใจออก เห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง หายใจเข้า ย่อมอยู่ หายใจออก อนึ่ง หายใจเข้า สติของเธอตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่ หายใจออก ก็เพียงสักว่าความรู้ในกายนี้ หายใจเข้า เพียงสักว่าอาศัยกายนี้ระลึกเท่านั้น หายใจออก เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว หายใจเข้า ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรๆในโลกแล้ว หายใจออก ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ หายใจเข้า ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ หายใจออก
สยว
กายที่ ๓ พิจารณาสัมปชัญญะ... กายที่ ๔ พิจารณาปฏิกูล... กายที่ ๕ พิจารณาธาตุ... กายที่ ๖ (พิจารณานวสีวถิกา)พิจารณาเห็นสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า ตายมาแล้ว ๑ วัน ๒ วัน ๓ วัน ... กายที่ ๗ พิจารณาสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า ที่ฝูงสัตว์ต่างๆกัดกินอยู่บ้าง ... กายที่ ๘ พิจารณาสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นร่างกระดูก ยังมีเลือดและเนื้อ ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่ ... กายที่ ๙ พิจารณาสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นร่างกระดูก ยังเปื้อนเลือดแลต่ปราศจากเนื้อแล้ว ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่... กายที่ ๑๐ พิจารณาสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นร่างกระดูก แต่ปราศจากเลือดและเนื้อแล้ว ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่... กายที่ ๑๑ พิจารณาสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นร่างกระดูก ปราศจากเส้นเอ็นผูกรัดแล้ว กระเรี่ยรายไปในทิศน้อยทิศใหญ่... กายที่ ๑๒ พิจารณาสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นกระดูกสีขาว เปรียบด้วยสีสังข์... กายที่ ๑๓ พิจารณาสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นกระดูก กองเรี่ยราย เก่าเกินปีหนึ่งไปแล้ว... กายที่ ๑๓ พิจารณาสรีระ ที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นกระดูกผุละเอียดแล้ว...เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงกายอันนี้เล่า ก็มีอยู่อย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังพรรณนามาฉะนี้ หายใจออก ภิกษุย่อมพิจารณา หายใจเข้า เห็นกายในกายภายในบ้าง หายใจออก เห็นกายในกายภายนอกบ้าง หายใจเข้า เห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง หายใจออก เห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง หายใจเข้า เห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง หายใจออก เห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง หายใจเข้า ย่อมอยู่ หายใจออก อนึ่ง หายใจเข้า สติของเธอตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่ หายใจออก ก็เพียงสักว่าความรู้ในกายนี้ หายใจเข้า เพียงสักว่าอาศัยกายนี้ระลึกเท่านั้น หายใจออก เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว หายใจเข้า ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรๆในโลกแล้ว หายใจออก ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ หายใจเข้า ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ หายใจออก พิจารณากายที่เป็นบัญญัติ......กาย พิจารณากายเป็นปรมัต...........ในกาย จนเห็นกายนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน (อนิจจัว ทุกขัง อนัตตา) สาธุ สาธุ สาธุ ขอความเจริญในธรรมจงมีแก่ทุกๆท่าน พระสูตรนี้ มีท่านพระอาจารย์สุรศักดิ์ สอนได้ดีที่สุด ครับ 23/04/63 ...21.09-23.03 ...ROCK CITYHUNTER...
กราบสาธุค่ะ
สาธุ
@user-qf9qh1yx2n
5 жыл бұрын
อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ครับ